
มรดก พินัยกรรม เมื่อพูดถึงสองสิ่งนี้ หลายคนมักจะคิดว่าการวางแผนมรดกและการจัดทำพินัยกรรมเป็นเรื่องของคนรวย คนที่มีอายุเยอะแล้ว หรือเป็นเรื่องของคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก จึงไม่ค่อยเริ่มวางแผนมรดก
เหตุผลว่าทำไมต้องวางแผนมรดก ก็เพราะว่าในวันที่เรามีทรัพย์สินเตรียมที่จะส่งมอบให้กับใครบางคนและมักที่จะเป็นคนที่เรารัก หรือสำหรับบางคนไม่เพียงแต่มีทรัพย์สินเท่านั้นแต่ยังมีหนี้สินพ่วงมาด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนเพื่อเตรียมการ เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ใครและจะมีการจัดการกับหนี้สินที่พ่วงมาด้วยอย่างไรบ้าง และยิ่งถ้าไม่มีหนี้สินเลยจะได้มีการวางแผนว่าเมื่อถึงวันนั้น เราจะเหลืออะไรไว้ให้กับใครได้บ้าง
ความสำคัญของการวางแผนมรดก คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต ทรัพย์มรดกทั้งหมดจะตกทอดสู่ลูก แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป
เพราะกฎหมายมีการจัดลำดับของการแบ่งมรดก ทั้งยังมีเรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว รวมถึงสินสมรสเข้ามาเกี่ยวเนื่องด้วยในกรณีของคนที่มีคู่สมรส ซึ่งถ้าไม่เตรียมการวางแผนมรดกไว้เลย ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็จะถูกแบ่งให้กับทายาทตามลำดับกฎหมาย ซึ่งอาจจะไม่ตรงตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สินเดิม แถมขั้นตอนการจัดแบ่งยังมีความซับซ้อนและใช้เวลานานกว่าอีกด้วย เพราะกฎหมายจะกำหนดให้คนจากภายนอกมารวบรวมทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงต้องรวบรวมหนี้สิน ลูกหนี้ เจ้าหนี้ การรวบรวมก็ยังไม่รู้ว่าจะครบถ้วนหรือไม่อีกด้วย
โดยกฎหมายแบ่งลำดับความสำคัญของทายาทออกเป็น 2 ลำดับ คือ
1. ทายาทโดยพินัยกรรม
ในกรณีที่ได้มีการทำพินัยกรรมไว้ เนื้อหาและลำดับของผู้รับพินัยกรรมในพินัยกรรมจะถูกนำมาพิจารณาก่อน
2. ทายาทโดยธรรม
ในกรณีไม่มีทายาทโดยพินัยกรรม (ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้) จะใช้หลักทายาทโดยธรรม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 6 ลำดับ (ใช้หลัก ญาติสนิท>ญาติห่าง) ได้แก่
1. ผู้สืบสันดาน (รวมบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม)
2. บิดามารดา (ในส่วนของบิดาจะต้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ กรณีบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันบิดาไม่มีสิทธิในกองมรดกของบุตร ในทางกลับกันบุตรมีสิทธิในกองมรดกของบิดา)
3. พี่น้องร่วมบิดามารดา
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
มรดก หมายความรวมถึงทรัพย์สินที่เห็นและสามารถจับต้องได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถ เงินสด ส่วนสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า คือ สิทธิและหน้าที่ หมายถึง สิทธิเรียกร้องต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น เจ้ามรดกมีการวางมัดจำจะซื้อจะขายไว้แต่ยังไม่ได้ทำการโอนให้เรียบร้อย ต่อมาเสียชีวิตกระทันหัน สิทธิดังกล่าวสามารถตกทอดเป็นมรดกได้
ส่วนสิทธิและหน้าที่ คือ เจ้ามรดกอาจมีหน้าที่รับผิดอะไรบางอย่าง อาจจะถูกฟ้องโดยที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาตัดสิน เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปแล้วศาลจึงมีคำพิพากษาให้แพ้คดีความ ทายาทมีหน้าที่ต้องชำระหนี้แทน เมื่อรับมรดกมาต้องรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ด้วยเช่นกัน โดยรับทั้งมรดกและถ้ามีหนี้สินก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพียงแต่กฎหมายกำหนดไว้ว่าเมื่อหนี้สินมีมากกว่าทรัพย์สินที่ได้รับ ให้รับผิดไม่เกินมรดกที่ได้รับมา เช่น ได้รับมรดกมา 1 ล้านบาท เจ้าหนี้ทวงหนี้ 2 ล้านบาท ทายาทมีหน้าที่ชำระหนี้เพียง 1 ล้านบาทเท่านั้นเพราะได้รับมรดกมาเพียง 1 ล้านบาท
ขั้นตอนในการจัดการวางแผนมรดก
1. รวบรวมรายการทรัพย์สินที่มีทั้งหมด
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ทะเบียนทรัพย์สิน” มาให้ครบ ทั้งทรัพย์สินบางชนิดที่ไม่ได้มีทะเบียนเป็นหลักฐาน
2. ดูว่าทรัพย์สินแต่ละชนิดมีภาระติดพันหรือไม่
เพื่อทำให้การจัดการมรดกเรียบร้อยมากขึ้น สิ่งที่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาควบคู่และคนส่วนใหญ่มักจะลืมนั่นก็คือเรื่องของ “สินสมรส” บางครั้งทรัพย์สินอาจจะอยู่ในชื่อของเจ้ามรดกแต่เป็นสินสมรสก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่น สามีภรรยาจดทะเบียนสมรสกัน มีเงินฝากโดยมีชื่อบัญชีเป็นชื่อของภรรยา เจ้ามรดกมีสิทธิในเงินฝากข้างต้นเพียงแค่ครึ่งเดียวในการระบุไว้ในพินัยกรรม เพราะอีกครึ่งเป็นของคู่สมรส ในขณะเดียวกันเจ้ามรดกอาจจะมีหุ้นในบริษัท และอาจจะถือไว้แค่ 10% สามีถืออีก 50% จึงต้องนำหุ้นทั้งหมดมารวมกันแล้วแบ่งคนละครึ่งคือคนละ 30% / 30% ที่ว่านี้คือกองมรดกที่สามารถตกทอดแก่ทายาทได้
3. เมื่อรวบรวมทรัพย์สินและแบ่งสินสมรสเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็สามารถเริ่มเขียนพินัยกรรมได้ ต้องการส่งมอบสิ่งที่มีให้แก่ใคร เท่าไหร่ และอย่างไรบ้าง
ตัวอย่างกรณีอุทาหรณ์
คู่สามีภรรยาอาจจะอยู่กันไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เกิดการหย่าร้าง ส่วนใหญ่การหย่าร้างมักจะจบไม่ค่อยดี ในกรณีที่มีลูกด้วยกันและลูกยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในวันที่มารดาเสียชีวิต ตามกฎหมายแล้วบิดาสามารถเข้ามาเป็นผู้ปกครองของบุตรผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะได้ และยังสามารถที่จะสวมสิทธิในเรื่องการดูแลทรัพย